ถ้าจะให้พูดถึงหนึ่งในโรคที่คนกลัวรองมาจากมะเร็ง โรคหัวใจ เห็นทีคงจะเป็น โรคเอดส์ ( Acquired Immune Deficiency Syndrome ) ที่เป็นอาการระยะสุดท้ายของ HIV นี่แหละค่ะ อย่าว่าแต่จะเป็นเลย เพียงแค่ได้ยินชื่อก็เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนคงจะกลัวกันเสียแล้ว ต่างคนก็ต่างคิดไปสารพัด บ้างก็กลัวจนหัวหด บ้างก็รังเกียจเหมือนเขาไม่ใช่คน “ คนนั้นเป็นเอดส์นะ อย่าเข้าไปใกล้เชียว เดี๋ยวจะติดโรคเอาได้ ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนใครที่มีความคิดแบบนี้ก็คงจะไม่ผิด เพราะเขายังขาดความรู้ ความเข้าใจของโรค
แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้นได้พัฒนาและก้าวหน้าไปไกล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยาต้านไวรัส เครื่องมือ วัคซีน ฯลฯ เพราะฉะนั้นถ้าใครที่มีความคิดในด้านลบเกี่ยวกับโรคเอดส์แบบล้าหลังอยู่ ก็ขอให้กลบความคิดนั้นฝังลงดินแล้วมาเริ่มต้นปลูกความคิดแบบใหม่ในบทความนี้ กันเถอะค่ะ
ถ้าพร้อมแล้วเราก็ไปทำความรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ ตั้งแต่ โรคเอดส์ คืออะไร มีกี่ระยะ อาการ สาเหตุ วิธีรักษา วิธีป้องกัน ไปพร้อม ๆ กันเลย
โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) เป็นระยะการป่วยขั้นสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสที่เรารู้จักกันดีนั่นก็คือ HIV ซึ่งเชื้อไวรัสเอชไอวีนี่แหละค่ะที่เป็นตัวทำลายเม็ดเลือดขาว ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราทำงานให้บกพร่อง อ่อนแอ หมดเรี่ยวแรงในการลุกขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรค จนเป็นเหตุให้ร่างกายของเราอ่อนแอและเจ็บป่วย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ แต่มียาที่ช่วยยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัส ทำให้ผู้ติดเชื้อที่ทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันมีอายุยืนยาวเท่ากับคนที่ไม่ติดเชื้อเลย ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลหรือกลัวไปนะคะ
ถือว่าเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และถ้าหากอยากรู้ว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร มีอะไรบ้าง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : STD หรือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออะไร มีอะไรบ้าง
อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยกันมากนั่นก็คือ โรคเอดส์มาจากที่ไหน มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงมีโรคนี้เกิดขึ้น คำตอบคือมีต้นกำเนิดการแพร่เชื้อมาจากทวีปแอฟริกา แต่เดิมชื่อของโรคนี้คือ เอสไอวี (Simian Immunodeficiency Virus: SIV) ที่มีการสมมติฐานว่ามาจากลิงชิมแปนซีที่ได้แพร่เชื้อมาสู่มนุษย์ แต่ ใช่ว่าพอติดเชื้อ HIV ปุ๊ปจะกลายเป็นเอดส์ปั๊ปทันทีทันใดนะคะ โรคนี้มันมีระยะและเวลาในการแพร่เชื้อของมัน จะมีระยะอะไรบ้างไปดูกันเลย
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าใครหลาย ๆ คงจะทราบกันดีแล้วใช่ไหมคะว่าเอดส์เป็นอาการระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ถ้าเช่นนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าการเกิดทางของเชื้อเอชไอวี จนกลายมาเป็นเอดส์ ผู้ชาย ผ้หญิง นั้นมีระยะไหนบ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วระยะของเอดส์จะมีด้วยกัน 3 ระยะ คือ
อาการเริ่มต้นของเอดส์ หรือเชื้อ HIV คือระยะไม่ปรากฏอาการ เป็นระยะที่เพิ่งได้รับเชื้อเอชไอวี หากทำการตรวจจะยังไม่สามารถพบเชื้อได้ นั่นหมายความว่าเชื้อยังไม่แสดงอาการนั่นเอง ร่างกายยังแข็งแรงปกติ ไม่มีอาการอ่อนล้าหรือเพลีย แต่จะมีอาการป่วยบ้างเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำ ปวดหัว แต่หลังจากนั้นอาการก็จะหายไป
ระยะแรกเริ่มหรือที่เรียกกันว่าระยะปรากฏอาการ คนไข้บางรายอาจจะมีอาการเจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต เกิดฝ้าขาวในช่องปากและในลำคอ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีแผลเริมเริ่มลุกลาม เป็นต้น หากมาตรวจในระยะนี้แน่นอนว่าเราสามารถพบเชื้อได้
ระยะโรคเอดส์หรือระยะเอดส์เต็มขั้น ระยะนี้ร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่เสียหาย เข้าขั้นวิกฤติ ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ จนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย อย่างเช่น ติดเชื้อวัณโรค เชื้อรา ไอเป็นเลือด ปวดหัวอย่างรุนแรง ระบบหายใจทำงานผิดปกติจนเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ อาทิ โรคมะเร็งผิวหนัง เยื้อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม เป็นต้น
สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าอาการทั้ง 3 ระยะนี้ยังไม่ได้บ่งบอกว่าคนนั้นหรือใครติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้ถ้าไม่ได้บอกว่าเป็นเอดส์ ก็คงจะคิดว่าเป็นอาการป่วยทั่วไป หากถามว่ายังมีอาการอื่นให้เราสังเกตได้หรือไม่ คำตอบคือมีค่ะ อาการทั้ง 3 ระยะนั้นเป็นเพียงอาการที่ทำให้เรารู้ว่าอยู่ในระยะไหนเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงอาการโดยรวม หรือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเข้าข่ายติดเชื้อนั้นขอบอกว่ามีอาการหรือเอฟเฟคที่เยอะมาก ๆ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า อาการโรคเอดส์ ข้างต้นนั้นมักจะมีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตาม ผิวหนัง และยังมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เช่น
อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวที่ได้ยกตัวอย่างมา อาจจะไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อเอชไอวี
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการตรวจหาเชื้อนะคะ ใครที่มีอาการดังกล่าวก็อย่าเผลอตีโพยตีพายไปล่ะ เดี๋ยวสุขภาพจิตจะแย่เสียเอาเสียก่อน
ถ้าพูดถึงอาการของโรคเอดส์แล้ว จะไม่พูดถึงสาเหตุของโรคก็คงจะไม่ได้ เพราะมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ใช่ไหมล่ะ สำหรับบางคนอาจจะรู้สาเหตุของการเกิดโรคอยู่แล้ว เพราะมันถูกบรรจุลงในหนังสือเรียน
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้จะมีแบบเรียนสักกี่เล่ม ก็ยังมีบางคนที่ยังเชื่อเรื่องสาเหตุการเกิดโรคแบบผิด ๆ ถูก ๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาทำความเข้าใจกันเสียใหม่นะคะ ว่าจริง ๆ แล้วสาเหตุของการเกิดโรคเอดส์นั้นเกิดจากอะไร
จริง ๆ แล้วปัจจัยการเกิดโรคเอดส์ สาเหตุนั้นมีหลายปัจจัยมาก ๆ แต่สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้คนติดเชื้อกันมากที่สุดคือ
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาต้านไวรัส : ยาต้านไวรัส HIV คืออะไร มีกี่แบบ ป้องกันได้อย่างไร
เมื่อมีสาเหตุของการเกิดติดเชื้อ ก็ต้องมีแนวทางการป้องกันตามมา คงไม่มีใครอยากจะเจ็บป่วยหรือเป็นโรคหรอกใช่ไหมคะ หากเป็นเช่นนั้นเราตามไปดูแนวทางการป้องกันโรคเอดส์กันเลย
หากเราไม่อยากให้เกิดโรค ดังนั้นสิ่งแรกที่เราควรทำคือป้องกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เรารับเชื้อ หรือป้องกันไม่ให้เชื้อจากเราไปแพร่สู่คนอื่น จะมีแนวทางป้องกันอะไรบ้างไปดูกันค่ะ
เห็นไหมล่ะคะว่าวิธีป้องกันนั้นไม่ยากเลย ง่ายและประหยัดกว่ารักษาเสียอีกค่ะ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในด่านแรกคือการป้องกันและตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมนี่แหละ
แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มียาตัวไหนที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมียาที่สามารถใช้ทานเพื่อป้องกันการติด HIV ได้ นั่นคือยาต้านไวรัสที่มีชื่อว่า Pre-Exposure Prophylaxis หรือที่เรียกกันว่ายา PrEP ซึ่งการรับยาต้านไวรัสชนิดนี้เป็นการให้ยาต้านสำหรับคนที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีการสัมผัสเชื้อ หากจะพูดถึงเรื่องประสิทธิภาพของ PrEP แล้วนั้นสามารถเห็นได้มากถึง 99% หากมีการใช้ยาอย่างถูกวิธี ส่วนในเรื่องของผลข้างเคียงในยาต้านไวรัส PrEP เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น อาจจะมีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะได้เล็กน้อยในช่วงแรกของการทานยา อย่างไรก็ตามคนที่ใช้ยา PrEP ก็ควรจะเข้ารับการตรวจเลือดทุกๆ 3 เดือน
ก่อนอื่นต้องของบอกก่อนว่า ยาต้านไวรัส หรือ PrEP ชนิดนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน หากใครที่ต้องการใช้ยาต้านไวรัสจะต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์ก่อน ยาชนิดนี้เหมาะสำหรับ
นอกจากจะมียาต้านไวรัสสำหรับคนที่ป้องกันการติดเชื้อแล้ว ยังมีตัวยาเพื่อลดการเสี่ยงติดเชื้อนั่นคือ post exposure prophylaxis หรือมีชื่อย่อว่า PEP ซึ่งยาชนิดนี้เป็นยาที่ต้องรับประทานให้เร็วที่สุดหลังจากที่มีการสัมผัสเชื้อเอชไอวี โดยต้องทานยาภายใน 72 ชั่วโมง หรือภายใน 3 วัน กินเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ายานี้ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะป้องกันการติดเชื้อได้ 100% นะคะ เป็นเพียงยาที่ช่วยลดความเสี่ยงเท่านั้น ซึ่งการจะรับยา PEP ได้นั้นจะต้องทำการตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนเสมอ เพราะหากคุณได้รับเชื้อไปแล้ว แพทย์ก็จะพิจารณาให้คุณเข้าสู่กระบวนการรักษา HIV ต่อไป ซึ่งจะต้องมีการส่งเลือดไปตรวจเพิ่มเติม และยาที่จ่ายก็จะแตกต่างออกไป
เนื่องจากยาชนิดนี้เป็นยาที่ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และใช้ได้สำหรับคนที่สัมผัสเชื้อมาไม่เกิน 3 วัน เช่น
อย่างไรก็ตามการใช้ ยา PEP เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น หากจะให้ปลอดภัยและลดความ เสี่ยงของการติดเชื้อที่ดีที่สุดคือการป้องกันอย่างถูกวิธีนะคะ
ปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยที่ดีที่สุดคือการตรวจเลือดเพื่อดูการติดเชื้อและระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ร่วมกับการตรวจลักษณะทางคลินิกโดยแพทย์
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนคงจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับ HIV กันมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ เห็นไหมล่ะว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด เพราะในปัจจุบันนี้การแพทย์ได้มีการพัฒนาไปไกลแบบก้าวกระโดดมาก ๆ เช่นมีการให้ยาต้านไวรัสอย่าง PrEP และ PEP ถึงตอนนี้แล้วเราคงจะเปลี่ยนความคิดที่รังเกียจคนที่ติดเชื้อมาเป็นการให้กำลังใจ หรือให้ความรู้กับคนอื่นเพื่อเป็นการป้องกันดีกว่าค่ะ แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย แต่เหนือสิ่งอื่นใดเราก็ขอรณรงค์ให้ทุกคนรู้จักป้องกัน สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนร่วมเพศ ช่วยกันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ