เคยไหม…ที่เราตัดสินใจผิดพลาดแค่ “ครั้งเดียว” แล้วต้องมานั่งลุ้นอีกหลายสัปดาห์ว่าจะติดเชื้อ HIV หรือเปล่า?
อยากบอกว่า ทุกวันนี้เราไม่จำเป็นต้องเสี่ยงแบบนั้นอีกแล้ว เพราะเรามีตัวช่วยที่สามารถ “ป้องกันไว้ก่อน” หรือ “หยุดเชื้อไว้ทัน” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ PrEP และ PEP
หลายคนยังสับสนว่า PrEP และ PEP ต่างกันยังไง ต่างกันตรงไหน? ใช้เมื่อไหร่? แบบไหนเหมาะกับตัวเอง? บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เพื่อให้คุณวางแผนป้องกันตัวเองได้อย่างมั่นใจ
PrEP และ PEP คือยาต้านไวรัส (Antiretroviral Drugs) ที่มีจุดประสงค์หลักเหมือนกัน คือการป้องกันการติดเชื้อ HIV แต่ต่างกันที่ “ช่วงเวลาในการใช้” และ “สถานการณ์ที่เหมาะสม” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจเลือกใช้
PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาสำหรับ ป้องกัน HIV ก่อนมีความเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับคู่ที่ไม่ทราบสถานะ HIV หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
โดยหลักการของ PrEP คือ การกินยาต่อเนื่องเพื่อให้มีระดับยาในร่างกายเพียงพอที่จะป้องกันเชื้อ HIV ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ได้ ยาที่นิยมใช้คือ Tenofovir + Emtricitabine ซึ่งเป็นสูตรเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV แต่ในกรณีนี้ ใช้เพื่อ “ป้องกัน” ล่วงหน้า
PEP (Post-Exposure Prophylaxis) เป็นยาสำหรับ ป้องกัน HIV หลังจากมีความเสี่ยง เช่น เผลอลืมใช้ถุงยาง, ถุงยางฉีกขาด, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดนเข็มตำจากผู้ติดเชื้อในสถานพยาบาล หรือ เมาไม่แน่ใจว่าลืมว่าใส่ถุงยางหรือไม่
PEP จะช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อ HIV เข้าไปติดเชื้ออย่างถาวัในร่างกาย หากเริ่มใช้ยา ทันทีหลังจากมีความเสี่ยง และไม่เกิน 72 ชั่วโมง
แม้ PrEP และ PEP จะมีเป้าหมายเดียวกันคือ “ป้องกัน HIV” แต่ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ ช่วงเวลาในการใช้, วิธีการใช้, ระยะเวลาการรักษา รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสม
หัวข้อ |
PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) |
PEP (Post-Exposure Prophylaxis) |
ใช้เมื่อไหร่? |
ก่อนมีความเสี่ยง (ต้องวางแผนล่วงหน้า) |
หลังมีความเสี่ยง (ในกรณีฉุกเฉิน) |
ช่วงเวลาที่ต้องเริ่มใช้ |
อย่างน้อ 2 – 24 ชั่วโมงก่อนเสี่ยง (ในเพศชาย), 7 วัน (ในเพศหญิง) |
ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเสี่ยง ยิ่งเร็วยิ่งดี |
ระยะเวลาในการใช้ยา |
ใช้ต่อเนื่องทุกวัน ตราบใดที่ยังมีพฤติกรรมเสี่ยง |
กินยาติดต่อกัน 28 วันจนครบคอร์ส |
ยาที่ใช้ |
ส่วนใหญ่ใช้ Tenofovir + Emtricitabine |
มักใช้สูตรยาต้านไวรัส 3 ตัว เช่น Tenofovir + Emtricitabine + Dolutegravir |
ผลข้างเคียง |
มักมีน้อย เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ในช่วงแรกๆ |
อาจมีมากกว่า เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดหัว |
ความเหมาะสมของผู้ใช้ |
ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำๆ เช่น มีคู่นอนหลายคน, ชายรักชาย |
ผู้ที่เสี่ยงแบบไม่ตั้งใจ เช่น ลืมใช้ถุงยาง, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ |
โอกาสป้องกัน HIV |
สูงถึง >99% หากใช้สม่ำเสมอ |
ป้องกันได้ 80-90% หากเริ่มใช้เร็วและใช้ครบคอร์ส |
ปัจจุบันเรามียาต้านไวรัสที่สามารถช่วย “ควบคุม” เชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นคือ การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อตั้งแต่แรก และ PrEP คือหนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุด ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้สูงถึง 99% หากใช้สม่ำเสมอและถูกวิธี โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น
การใช้ PrEP จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการ “ป้องกันตัวเอง” เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วย ลดการแพร่กระจายของเชื้อในสังคม อีกด้วย
PrEP ป้องกันได้เฉพาะเชื้อ HIV เท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม HPV (ไวรัสหูด) เริม ไวรัสตับอักเสบบางชนิด (เช่น B และ C) ได้ เพราะฉะนั้นถึงใช้ PrEP แล้ว ก็ยังควรใช้ถุงยางร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อการป้องกันที่ครบถ้วน
หลังจากที่มี ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV โดยเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อฝังตัวในร่างกาย ซึ่งต้องอาศัยความเร็วและวินัย
ในทุกกรณี ควรเริ่ม PEP ภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากมีความเสี่ยง และควรให้เร็วที่สุด ภายใน 2 ชั่วโมงจะดีที่สุดในแง่ของประสิทธิภาพ
แม้จะมีประสิทธิภาพในการลดโอกาสการติดเชื้อ HIV ได้ถึง 80-90% แต่ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” และมีข้อควรระวังที่สำคัญดังนี้
PEP เป็นทางเลือกที่ดี “เมื่อไม่มีโอกาสได้เตรียมตัว” ดังนั้นอย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อน แล้วค่อยมาป้องกันนะ ถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยงต่อเนื่อง การวางแผนล่วงหน้าด้วย PrEP จะเหมาะสมกว่าในระยะยาว
ปัจจัย |
ถุงยางอนามัย |
PrEP |
PEP |
ป้องกัน HIV |
✅ ได้ดีมาก |
✅ ดีมากเมื่อใช้ต่อเนื่อง |
✅ ได้ผลถ้าเริ่มเร็ว |
ป้องกันโรคติดต่อทางเพศอื่น |
✅ เช่น ซิฟิลิส หนองใน HPV |
❌ ไม่ป้องกัน |
❌ ไม่ป้องกัน |
ต้องใช้เมื่อไหร่ |
ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง |
กินต่อเนื่องทุกวัน |
หลังเสี่ยงทันที |
เหมาะกับใคร |
ทุกเพศ ทุกกลุ่ม |
คนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำ |
คนที่มีเหตุฉุกเฉิน |
ผลข้างเคียง |
แทบไม่มี |
พบได้บ้าง (มักน้อย) |
พบได้บ่อยกว่านิดหน่อย |
กลุ่มเสี่ยงที่เหมาะกับการใช้ PrEP จากแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) และงานวิจัยในหลายประเทศ กลุ่มต่อไปนี้ถือว่าเหมาะสมในการใช้ PrEP อย่างจริงจัง
ตราบใดที่รู้สึกว่า “อาจมีความเสี่ยง” ในอนาคตอันใกล้ หรือไม่มั่นใจในสถานะของคู่นอนสามารถใช้ได้
ใน “สถานการณ์ฉุกเฉิน” เมื่อเกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV แบบไม่ตั้งใจ ไม่มีโอกาสเตรียมตัวล่วงหน้า
สถานการณ์ที่พบได้บ่อย เช่น
*ในกรณีของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ต้องใช้ทันทีโดยไม่ต้องรอผลตรวจของอีกฝ่าย
การใช้ PrEP และ PEP ไม่ใช่แค่ “ไปรับยามากิน” เท่านั้น แต่ต้องผ่านขั้นตอนที่เป็นระบบ และอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สำหรับ PrEP ก่อนเริ่ม PrEP จะต้องตรวจสุขภาพโดยเฉพาะเรื่อง HIV และการทำงานของไต
สำหรับ PEP เป็นกรณีเร่งด่วน ดังนั้นการเริ่มยามักเกิด ทันทีหลังประเมินความเสี่ยง จากนั้นค่อยนัดตรวจเพิ่มเติม
ถ้ามีโอกาสว่า “อาจติดเชื้อ HIV อยู่แล้ว” ห้ามใช้ PrEP เพราะจะเสี่ยงเกิด “การดื้อยา” ซึ่งรักษายาก
หลังจากเริ่มใช้ PrEP หรือ PEP แล้ว ไม่ใช่แค่ “กินยาให้ครบ” แต่ยังต้องมีการดูแลตัวเองในหลายด้าน เพื่อให้ร่างกายตอบสนองต่อยาได้ดี และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงครับ
โดยทั่วไป PrEP และ PEP ถือว่าเป็น ยาที่ปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยา (FDA) ทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ก็เหมือนกับยาทุกชนิด ที่อาจมีผลข้างเคียงบ้างในบางราย
PrEP อาการที่พบได้ในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อร่างกายปรับตัวได้ และไม่ใช่สัญญาณอันตราย แต่ในบางราย (น้อยมาก) อาจพบ ผลต่อการทำงานของไต ซึ่งแพทย์จะนัดตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อติดตามผลตรงนี้ ถ้าอาการรุนแรงหรือไม่หาย ควรกลับมาปรึกษาแพทย์
PEP บางคนอาจมีอาการชัดเจนกว่า PrEP เพราะเป็นยาหลายตัวร่วมกัน
การกินยาพร้อมอาหารจะช่วยลดคลื่นไส้ หากมีอาการรุนแรงหรือผิดปกติ เช่น มีผื่น หายใจลำบาก ปัสสาวะสีเข้มหรือเจ็บชายโครงขวา ควรรีบพบแพทย์ทันที!
ราคาของ PrEP และ PEP จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อที่ใช้, สถานที่ที่รับบริการ (คลินิกเอกชน vs โรงพยาบาลรัฐ), และสิทธิ์ประกันสุขภาพที่คุณมี
ประเภท |
ราคาต่อเดือนโดยประมาณ |
ยานำเข้า (Descovy) |
3,400 บาท/เดือน |
ยาชื่อสามัญ (generic) |
1,000 – 1,800 บาท/เดือน |
โปรแกรมของรัฐ (บางพื้นที่) |
อาจให้ฟรี หรือมีค่ายาเพียงเล็กน้อย |
PrEP มักจัดเป็น “ยาแบบรายเดือน” ที่ต้องกินทุกวันอย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์จะนัดตรวจติดตามทุก 3 เดือน ซึ่งอาจมีค่าตรวจเลือดเพิ่มเติมเล็กน้อย (เช่น 400 – 1,000 บาท ต่อครั้ง)
ประเภท |
ราคาต่อคอร์ส (28 วัน) โดยประมาณ |
ยาสูตรมาตรฐาน (3 ชนิด) |
3,000 บาท/คอร์ส |
ยารุ่นใหม่ (ผลข้างเคียงน้อย) |
9,500 บาท/คอร์ส |
โรงพยาบาลรัฐ (บางแห่ง) |
อาจมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่านี้ โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉิน (เช่นผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)** |
อย่างไรก็ตามแนะนำให้โทรสอบถามคลินิกหรือโรงพยาบาลล่วงหน้า เพื่อดูว่าราคาแต่ละที่แตกต่างกันอย่างไร และมีบริการฉุกเฉิน PEP 24 ชั่วโมงหรือไม่
ทั้ง PrEP และ PEP ต้องใช้เวลาให้ยาออกฤทธิ์ในร่างกายก่อนจะสามารถป้องกันเชื้อ HIV ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมนี้จะแตกต่างกันไปตามชนิดของยาและรูปแบบการใช้
PrEP ไม่ได้ให้ผลป้องกันทันทีหลังจากเริ่มกิน ต้องใช้เวลาพอสมควรให้ยาสะสมในร่างกายถึงระดับที่สามารถป้องกันเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อมีระดับยาในเลือดสม่ำเสมอ การเว้นการกินบ่อยๆ หรือกินไม่ตรงเวลา อาจทำให้ระดับยาตก และประสิทธิภาพลดลง
กลุ่มผู้ใช้ |
ระยะเวลาที่ต้องใช้ก่อนเริ่มป้องกันได้เต็มที่ |
เพศชาย (sex with men) |
อย่างน้อย 2 – 24 ชั่วโมง ของการใช้ต่อเนื่อง |
เพศหญิง หรือทางช่องคลอด |
อย่างน้อย 7 วัน ของการใช้ต่อเนื่อง |
การใช้ทางทวารหนัก (เฉพาะ PrEP 2+1) |
อาจใช้สูตรเฉพาะได้ กรณีมีคำแนะนำจากแพทย์ |
หลังจากถึงระยะเวลานี้ หากใช้ PrEP ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้สูงถึง >99% ตามรายงานจาก WHO และ CDC ครับ
PEP ป้องกันทันทีหลังมีความเสี่ยง เพื่อสกัดไม่ให้เชื้อฝังตัวในร่างกาย
PEP ไม่ได้ป้องกันล่วงหน้าแบบ PrEP แต่ “หยุดยั้งเชื้อที่อาจกำลังพยายามเข้าเซลล์” จึงถือว่าเป็นการแข่งกับเวลาอย่างแท้จริง
หลายคนคิดว่าเมื่อใช้ PrEP หรือ PEP แล้ว จะสามารถ “ปลอดภัยไปตลอด” แต่จริงๆ แล้ว ยาทั้งสองชนิดมีระยะเวลาการป้องกันที่ ขึ้นอยู่กับการใช้ยาอย่างต่อเนื่องหรือครบคอร์ส เท่านั้นครับ
ไม่ป้องกัน เพราะ PrEP จะช่วยป้องกัน HIV ได้ เฉพาะในช่วงที่ร่างกายมียาในระดับที่เพียงพอ หากหยุดใช้ยา ระดับยาจะค่อยๆ ลดลง และหายไปจากกระแสเลือดภายในไม่กี่วัน
ยังมีความเสี่ยงได้ในอนาคต หากมีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำ
PrEP คือยาที่ใช้ ก่อนมีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อเนื่อง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรืออยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอน
PEP คือยาที่ใช้ หลังจากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ลืมป้องกัน ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือมีอุบัติเหตุสัมผัสเลือด โดยต้องเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงและกินให้ครบ 28 วัน
ทั้งสองวิธีต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ มีผลข้างเคียงบ้างแต่โดยรวมปลอดภัยสูง และควรใช้อย่างต่อเนื่องหรือครบคอร์สเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ควรซื้อยาใช้เองโดยเด็ดขาดครับ