โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis) หรือ NSU โดยเกิดจากเชื้อโรคหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีลักษณะอาการคล้ายกับโรคหนองในแท้ เกิดได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ส่วนใหญ่มักจะพบได้ในกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย กลุ่มผู้ใช้บริการทางเพศ หรือกลุ่มคนที่มีรสนิยมไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
โรคหนองในแท้และหนองในเทียม เป็นโรคที่มีอาการแสดงคล้ายคลึงกันหรืออาจจะเกิดร่วมกันได้ แต่มีเชื้อก่อโรคที่แตกต่างกัน ดังนี้
โรคหนองในแท้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Neisseria gonorrhea มีระยะการฟักตัวสั้น ประมาณ 1 – 10 วัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการฟักตัวภายใน 5 วัน และเป็นโรคภายใน 7 วัน มีลักษณะของหนองที่ขุ่น และจะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก mucous membrane เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ, ช่องคลอด, ปากมดลูก และเยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา ปาก และคอ
โรคหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis มีระยะการฟักตัวของโรคนานกว่าโรคหนองในแท้ นั่นคือ มากกว่า 10 วันขึ้นไป มีลักษณะของหนองทั้งใสและขุ่นได้ และมักเป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดเชื้อโรคซึ่งไม่ใช่หนองในแท้
หากแพทย์สงสัยว่า เป็นหนองในเทียม ทางแพทย์จะทำการตรวจด้วยการนำสารคัดหลั่งหรือหนอง ซึ่งเก็บจากปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะเพศชาย หรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูกเพศหญิงด้วยการนำไปย้อมสีและส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือนำไปเพาะเชื้อโดยจะวินิจฉัยร่วมกับการมีประวัติเสี่ยงทางเพศด้วย โดยการวินิจฉัยจะเสร็จสิ้นภายใน 1 วัน และจะทราบผลหลังการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งประมาณ 7-10 วัน
ถ้าพบว่าเป็นโรคหนองในเทียม ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบ urethral Gram stain พบ PMN มากกว่าหรือเท่ากับ ≥ 5 cells/oil field หรือ ตรวจพบ mucopurulent discharge ที่ cervix ในผู้หญิงโดยไม่พบ Gram negative intracellular diplococci จาก cervical Gram stain หรือ Chlamydial test positive ทางแพทย์จะทำการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการ
โรคหนองในเทียมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือกามโรค (STI) ที่พบได้ทั่วไป ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis (พบประมาณ ร้อยละ 40) และอาจเกิดจากเชื้ออื่นๆ ได้ เช่น Ureaplasma urealyticum, Trichomonas vaginalis โดยมักได้รับเชื้อมาจากการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ปาก ทวารหนัก อวัยวะเพศ โดยมีการหลั่งน้ำอสุจิหรือไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิก็ได้ และเกิดได้ในตำแหน่งของอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง รวมถึงทวารหนักด้วย นอกจากนี้ยังสามารถแพร่เชื้อในรูปแบบการกอด จูบ การใช้ผ้าเช็ดตัว สระว่ายน้ำ ห้องน้ำ แก้วน้ำ จาน และชามร่วมกันได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับระยะอาการของโรคในเพศหญิงและเพศชายจะมีระยะฟักตัวที่แตกต่างกันและขึ้นอยู่กับบริเวณที่ติดเชื้อ โดยเพศชายมักจะพบประมาณ 1- 3 วันหลังได้รับเชื้อ โดยในระยะแรกจะมีหนองข้นหรือเมือกสีขาวขุ่นไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ รอบๆ รูท่อปัสสาวะดูบวมแดง เวลาปัสสาวะจะรู้สึกแสบขัด มีอาการเจ็บคอ คอแห้ง ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว หรือมีไข้ร่วมด้วย และเมื่อเชื้อแพร่กระจายในระบบอวัยวะสืบพันธุ์ จะเริ่มมีอาการปวดบวมอัณฑะได้ การติดเชื้อนี้มีผลต่อการมีบุตรยากในระยะยาวด้วย
ส่วนในเพศหญิงที่ติดเชื้อ มักไม่แสดงอาการมากเหมือนเพศชาย พบประมาณ 10 วันหลังรับเชื้อ โดยเริ่มแรกจะมีของเหลวไหลออกมาจากช่องคลอด ประจำเดือนผิดปกติ รู้สึกขัดเวลาปัสสาวะ เจ็บที่กระดูกเชิงกรานเวลามีเพศสัมพันธ์ พร้อมเกิดอาการร่วมอื่นๆ เช่น เจ็บคอ คอแห้ง เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว มีไข้ หากไม่ทำการรักษา เชื้อจะแพร่เข้าระบอวัยวะสืบพันธุ์และลุกลามไปที่มดลูก ท่อนำไข่และรังไข่ จนทำให้เกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบ และเป็นหมันได้เลยทีเดียว
โดยทั่วไประหว่างผู้ชายกับผู้หญิงที่ติดเชื้อหนองในเทียมนี้จะมีอาการต่างกันออกไปด้วยลักษณะทางเพศสภาพ ซึ่งควรจะสังเกตตัวเองว่า มีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่
หนองในเทียมในผู้ชาย ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยสามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้
แต่ถ้าไม่รักษาปล่อยทิ้งไว้ เชื้ออาจลุกลามสู่อัณฑะ ซึ่งทำให้มีโอกาสเป็นหมันได้
หนองในเทียมในผู้หญิง อาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย เช่น
แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงโดยไม่ทำการรักษาอาจเกิดภาวะมีบุตรยากหรือเป็นหมันจากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานได้
ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อทางทวารหนัก หรือทางปาก อาการที่แสดงก็จะแตกต่างออกไป เช่น มีเลือดหรือหนองไหลออกจากทวารหนัก รู้สึกปวด เจ็บ ที่บริเวณทวารหนัก รวมถึงในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางปากอาจมีไข้ ไอ และรู้สึกเจ็บคอ
การเป็นโรคหนองในเทียมจะอันตรายถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเฉพาะที่ได้ โดยอาจทำให้ต่อมต่างๆ บริเวณท่อปัสสาวะอักเสบ ในผู้ชายอาการอาจลุกลามจนถึงขั้นอัณฑะอักเสบ มีผื่นขึ้นตามตัว บางรายอาจปวดข้อ ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ และร้ายแรงที่สุดคือเป็นหมัน
ส่วนผู้หญิงอาจ ลุกลามจนถึงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและมีอาการอักเสบบริเวณปากมดลูก ส่วนในหญิงที่ตั้งครรภ์อาจทำอันตรายในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งอาจจะติดเชื้อจากมารดาในขณะคลอด ส่งผลทำให้ทารกเกิดการติดเชื้อที่ตาและปอด ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก จนถึงขั้นแท้งได้ นอกจากนี้การติดหนองในเทียมจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเอดส์และซิฟิลิสได้มากกว่าคนทั่วไป 2-4 เท่าด้วย
สำหรับการรักษาโรคหนองในเทียมจะรักษาได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาและป้องกันการติดเชื้อ-การแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งยาที่ใช้รักษาโรคหนองในก็จะมีหลายกลุ่ม เช่น
ซึ่งแพทย์จะทำการเลือกใช้และปริมาณยาจะขึ้นอยู่กับตามอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อหนองในเทียมที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก และคอ จะสามารถเลือกใช้ยาได้หลายกลุ่ม ในปริมาณยาที่ต่างกัน เช่น ร็อกซิโทรมัยซิน (Roxithromycin) 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร 15 นาที นาน 14 วัน, อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) 1 กรัม กินครั้งเดียว ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง เป็นต้น หรือสำหรับใครที่เป็นหนองในเทียมเยื่อบุตาในผู้ใหญ่ สามารถเลือกใช้ยาอย่างใดอย่างหนึ่งในปริมาณที่ต่างกัน เช่น อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 21 วัน, เตตราไซคลิน (Tetracycline) 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 21 วัน เป็นต้น
นอกจากนี้จะมียาสำหรับรักษาตามกลุ่มช่วงวัย เช่น กลุ่มยาสำหรับหนองในเทียมในเด็ก ได้แก่
โดยผู้ป่วยจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์ และควรรับประทานยาจนครบตามที่แพทย์สั่ง นอกจากนี้ หากรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม หลังจากนั้น 3 เดือนควรกลับไปตรวจหาเชื้ออีกครั้ง เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการเกิดซ้ำ ร่วมกับการตรวจคัดกรองหาเชื้อในคู่นอนที่เคยมีเพศสัมพันธ์กันภายใน 6 เดือนที่ผ่านมาด้วย
สำหรับใครที่กังวลว่าจะเป็นโรคหนองในเทียม หรือกลัวว่าจะเป็นซ้ำ แนะนำให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำ ดังนี้
หากพบว่ามีอาการของโรคหนองในเทียมควรหยุดการมีเพศสัมพันธ์แล้วรีบเข้ารับการปรึกษาแพทย์ทันที หากแพทย์ทำการวินิจฉัยว่า ถ้าเป็นโรคหนองใน คุณควรจะพาคู่นอนมารับการรักษาด้วย และให้งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการจะหายดีแล้ว ซึ่งทางแพทย์ก็จะให้รับยาปฏิชีวนะและจะให้คำแนะนำในการรักษาอย่างถูกต้องกับคุณและคู่นอนด้วย
ผู้ป่วยโรคหนองในที่อยู่ระหว่างการรักษาเพื่อเป็นการลดเชื้อ และไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น แนะนำให้ทำตามข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้
การเลือกคลินิกรักษาโรคหนองในเทียมควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ มีทีมงานที่มีความชำนาญโดยเฉพาะในด้านการรักษาโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ได้รับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกต้อง ซึ่งถ้าหาไม่แน่ใจว่า ควรเข้ารับการรักษาที่ไหน สามารถปรึกษาและทำนัดหมายกับทาง Safe Clinic เพื่อวางแผนการรักษาทันที
หากไม่ได้รับการรักษาประมาณ 20-30% อาจหายจากโรคหนองในเทียมได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ และประมาณ 60% จะหายได้เองภายใน 8 สัปดาห์
โรคหนองในสามารถรักษาหายได้ แต่ถ้าหากรักษาจนหายแล้ว ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ดูแลอวัยวะเพศให้สะอาด และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้กลับไปเป็นโรคหนองในซ้ำอีกได้
ปกติแล้วโรคหนองในเทียมอาจเป็นเรื้อรังและรักษาให้หายได้ยากกว่าโรคหนองในแท้ เพราะมักตรวจแล้วไม่พบเชื้อ แต่ถ้าหากเจอเชื้อแล้ว จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ภายใน 14 วัน ถ้าหากทำการรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด