การตรวจ HIV เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการจะรู้ตัวว่าติดเชื้อหรือไม่นั้น จะต้องอาศัยการตรวจหาเชื้อ HIV เพียงอย่างเดียว ซึ่งคนไทยจำนวนมากที่เข้าใจว่า ร่างกายแข็งแรงอยู่ไม่จำเป็นจะต้องทำการตรวจหาเชื้อ HIV ทั้งๆ ที่เคยมีโอกาสติดเชื้อ หรือเคยมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ได้รับเชื้อ HIV มาได้ ซึ่งถ้าหากนิ่งนอนใจอาจทำให้เชื้อ HIV รุนแรงมากขึ้น และจะกลายเป็นโรคที่ทำการรักษาได้ยากหรือไม่ทันการณ์ได้
ดังนั้น หากมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ HIV แนะนำให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อจะดีที่สุด หรือถ้ามีพฤติกรรมที่เสี่ยงอยู่แล้วควรที่จะตรวจบ่อยๆ เช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปี รวมถึงควรชวนคู่นอนของตัวเองเข้ารับการตรวจหาเชื้อร่วมด้วย ทั้งนี้ ก็เพื่ิอป้องกันการแพร่ระบาดของ HIV และทำให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีหากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายไปแล้วนั่นเอง
การตรวจ HIV แบบ Anti-HIV เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV testing) การจากการตรวจเลือด และทำการวินิจฉัยจากการทำงานของระบบภูมิต้านทานภายในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีการต้านทานต่อเชื้อไวรัส HIV ซึ่งวิธีนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยสามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อประมาณ 3-4 สัปดาห์
การตรวจ HIV แบบ NAT (Nucleic Acid Testing) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ตรวจแนท เป็นวิธีการตรวจที่ไวที่สุด ซึ่งสามารถตรวจการติดเชื้อได้ตั้งแต่ 3-7 วันหลังการติดเชื้อ โดยการตรวจด้วยวิธีนี้จะตรวจหาเชื้อจากเลือดเพื่อหาแอนติ-เอชไอวี Anti HIV ซึ่งร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติเมื่อได้รับเชื้อมีข้อดีคือ ช่วยย่นระยะเวลาเพื่อให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้ไวขึ้น แม่นยำขึ้น และรวดเร็วกว่าวิธีเดิม ทำให้การรักษาทำได้เร็วมากขึ้นด้วย
การตรวจ HIV แบบ Rapid HIV Test เป็นวิธีการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้น โดยใช้เวลารอผลประมาณ 20 นาทีเท่านั้น แต่ถ้าหากผลเป็นบวกก็จะต้องเข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อทำการยืนยันว่าติดเชื้อจริงๆ ด้วยวิธีการตรวจแบบ Anti-HIV หรือ NAT แล้วแต่ระยะเวลาที่ได้รับเชื้อมา
การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี เป็นวิธีการตรวจโปรตีนของเชื้อที่ชื่อว่า p24 (HIV p24 antigen testing) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ตรวจการติดเชื้อในระยะแรกที่ผู้ได้รับเชื้อยังไม่สร้างแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV) หรือมีระดับแอนติบอดีที่ต่ำจนไม่สามารถตรวจวัดได้ โดยสามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อประมาณ 14-15 วัน
การตรวจ HIV แบบ HIV Self Testing ด้วยตนเอง โดยในปัจจุบันจะมีวิธีการตรวจทั้งหด 2 แบบ คือ การตรวจด้วยการเจาะเลือดที่นิ้วมือ และการตรวจด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างน้ำในช่องปาก
ควรจะตรวจ HIV หลังจากมีความเสี่ยงมาประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพราะถ้าหากตรวจเร็วไปก็อาจจะทำให้สรุปผลไม่ได้ว่าติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ (inconclusive) หรือถ้าตรวจช้าเกินไป ก็อาจจะทำให้โรคลุกลามจนทำให้การรักษาลำบากมากขึ้นได้ด้วย
การที่จะตรวจ HIV จะต้องทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ ซึ่งปกติคนที่จะต้องเจาะเลือดจะเคยชินว่าจะต้องอดข้าว แต่การจะต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจ HIV ไม่จำเป็นต้องอดข้าว และไม่ใช่ว่าจะต้องงดเครื่องดื่มทุกประเภทเหมือนการตรวจเลือดประจำปีที่ทุกคนอาจจะเคยเข้ารับการตรวจ คือ ยังสามารถดื่มน้ำเปล่าได้ แต่ควรจะงดน้ำบ่างอย่าง เช่น ชา กาแฟ น้ำหวาน หรือน้ำที่มีส่วนผสมอื่นๆ
สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจ HIV ที่สถานพยาบาล สามารถเตรียมตัวก่อนทำการตรวจหาเชื้อตามคำแนะนำได้ ดังนี้
สำหรับผู้ที่ไม่กล้า ไม่สะดวก หรือไม่มีเวลที่จะไปตรวจที่สถานพยาบาล แต่ต้องการทราบผลตรวจ สามารถซื้อชุดตรวจ HIV มาตรวจด้วยตนเองก่อนได้ โดยการตรวจจะรู้ผลได้ใน 10-20 นาที ซึ่งถ้าหากตรวจแล้วไม่พบเชื้อให้ทำการตรวจอีกครั้งในระยะเวลา 3 เดือน ส่วนถ้าหากพบผลเป็นบวกให้เดินทางไปตรวจอีกครั้งที่สถานพยาบาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการรับคำแนะนำจากแพทย์ และรักษาต่อไป
ขั้นตอนการตรวจ HIV ที่สถานพยาบาล
สำหรับขั้นตอนการตรวจ HIV จากสถานพยาบาล จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนการตรวจ HIV ด้วยตัวเอง
วิธีการรายงานผลตรวจ HIV จะมีรายละเอียด มีดังนี้
ขึ้นอยู่กับรูปแบบและวิธีการตรวจที่เลือก เร็วที่สุด คุณสามารถรู้ผลภายในระยะเวลาไม่เกิน 20 นาที (จากการตรวจแบบ Rapid HIV Test) แต่ถ้าตรวจจากสถานพยาบาลก็ขึ้นกับข้อกำหนดของแต่ละโรงพยาบาลด้วย โดยผู้ที่รับการตรวจจะทราบผลการตรวจจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ซึ่งผลการตรวจจะถูกเก็บเป็นความลับ และผู้รับการตรวจจะได้รับคำแนะนำในการดูและและป้องกันตัวเองจากโรค HIV เพิ่มเติมด้วย
ราคาการตรวจ HIV จะขึ้นอยู่กับรูปแบบและวิธีการตรวจ รวมถึงสถานพยาบาลที่เลือกตรวจ เช่น
โดยปกติแล้วสามารถเข้ารับการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ HIV ฟรีปีละ 2 ครั้งจากโรงพยาบาลรัฐ ศูนย์อนามัย หรือคลินิกที่ร่วมรายการแต่ถ้าหากไม่ต้องดารที่จะรอคิวนาน รอฟังผลนาน ก็สามารถตรวจ HIV ได้ตามโรงพยาบาลเอกชน คลินิกต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน หรือสำหรับใครที่รู้สึกแค่ไม่มั่นใจว่าได้รับความเสี่ยงมาจริงหรือไม่ ก็สามารถเลือกใช้วิธีการซื้อชดตรวจคัดกรอง HIV ด้วยตัวเองมาตรวจก่อนได้ ซึ่งถ้าผลเป็นบวกก็ค่อยเดินทางเข้ารับการตรวจซ้ำอีกรอบ ซึ่งก็จะช่วยลดรยะเวลาในการเข้ารับการตรวจมากขึ้น และถ้าหากผลเป็นบวกจริงก็จะช่วยทำให้เข้ารับการรักษาได้เร็วมากขึ้นด้วยนั่นเอ
แนะนำสถานพยาบาลที่สามารถตรวจ HIV ได้ในเขตกรุงเทพมหานคร
สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HIV ได้เสมอ หรือตรวจเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือถ้าไม่มั่นใจในคู่ของคุณก็ควรตรวจทันที หรือตรวจอย่างน้อยปีละครั้งก็ได้
สำหรับใครที่ไม่สะดวกที่จะไปตรวจ HIV ที่โรงพยาบาล ในปัจจุบันนี้มีชุดตรวจเอชไอวี (HIV) ด้วยตนเองให้เลือกใช้ได้แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV สามารถตรวจหาเชื้อได้รวดเร็วมากขึ้น ซึ่งถ้าหากสามารถตรวจเจอเชื้อได้ตั้งแต่เริ่มแรก โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองมีอาการหรือพบว่าติดเชื้อ HIV ในระยะที่ทำการรักษาลำบากแล้ว ก็จะมีโอกาสได้รับยาต้านที่ถูกต้อง เหมาะสม และทำให้รักษาอาการได้ดีมากขึ้นด้วย