หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคเริม (Herpes) ว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคเริมเกิดจากการสัมผัสรอยโรคก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน และโรคเริมนี้สามารถขึ้นได้ทั้งที่จมูก ปาก และอวัยวะเพศ แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างไรนั้น เรามาทำความรู้จักโรคเริมกันให้ชัดเจนกันได้ในบทความนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลักษณะของเริมที่จมูก สาเหตุ หรือความอันตรายของเริมที่จมูก และที่สำคัญคือจะสามารถรักษาและป้องกันการเกิดโรคเริมที่จมูกได้อย่างไร ไปดูกัน
โรคเริมที่จมูก จะมีลักษณะเป็นแผลตุ่มพองเล็กๆ อาจขึ้นเป็นกลุ่มหรือมีหลายตุ่ม โดยอาจขึ้นที่จมูกหรือภายในจมูก เมื่อตุ่มน้ำแตกออกจะเกิดเป็นรอยแผลได้ ซึ่งถ้าปล่อยให้ตุ่มน้ำแตกออกก็ควรป้องกันให้ดี เพราะสามารถแพร่เชื้อติดต่อผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ขณะที่เกิดโรคยังต้องระมัดระวังห้ามแกะ หรือเกาตุ่มพองโดยเด็ดขาด สามารถปล่อยทิ้งไว้ให้แผลแห้งไปเองได้ บางคนอาจมีเริมที่จมูกด้านในและมีอาการแสบร้อนบริเวณรอยโรค หรืออาจเป็นไข้ร่วมด้วย เนื่องจากปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ต้องการรักษาความเจ็บป่วย
หากเริมที่จมูกมีการเกิดซ้ำอาจมีแผลตุ่มน้ำขึ้นในบริเวณใกล้เคียงบริเวณเดิม มักจะมีอาการน้อยกว่าครั้งแรก ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยอาจมีอาการคันและปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
การติดเชื้อเริมที่จมูกนั้นจะเป็นเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Herpes simplex virus ชนิดที่ 2 ซึ่งจะเป็นการติดเชื้อบริเวณริมฝีปากและจมูก ลำคอเป็นหลัก
ส่วนสำหรับคนที่เพิ่งติดเชื้อเริมเป็นครั้งแรกอาจติดได้จากการสัมผัสรอยโรคหรือน้ำเหลืองที่ผิวหนัง โดยบริเวณปาก จมูก ตาและอวัยวะเพศเป็นบริเวณที่สามารถติดเชื้อได้ง่ายเมื่อได้รับการสัมผัสหรือมีช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้น หากผิวหนังมีบาดแผลและได้สัมผัสเชื้อก็สามารถติดเชื้อได้ และหากมีการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารร่วมภาชนะเดียวกันก็สามารถติดต่อได้เช่นกัน นอกจากนี้สตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อเริมก็สามารถส่งต่อโรคไปสู่บุตรขณะคลอดได้เช่นกัน
หลังจากที่มีการติดเชื้อในครั้งแรกแล้วโรคเริมที่จมูกนี้จะมีอาการอีกครั้งได้ก็ต่อเมื่อภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลงด้วยสาเหตุต่างๆ เช่นการพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดเป็นต้น หากมีอาการกำเริบอยู่บ่อยครั้งอาจต้องรับประทานยาเพื่อกดให้เริมไม่ปรากฏออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่นับว่าอันตรายมากนัก หากมีการดูแลร่างกายที่ดีอาจไม่แสดงอาการขึ้นมาอีกก็เป็นได้
เมื่อได้รับโรคเริมที่จมูกจะมีระยะฟักตัวอยู่ประมาณ 3-7 วันหลังได้รับเชื้อ และมักไม่แสดงอาการมากนัก แต่เมื่อมีอาการรุนแรงจะพบกับตุ่มน้ำแตกเป็นแผลตื้น มีอาการเจ็บ ปวด หรือแสบร้อนบริเวณแผล มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามเนื้อตัว และอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตได้ด้วยเช่นกัน หลังจากผ่านไป 2-6 สัปดาห์แผลจะตกสะเก็ดและหายไป
สำหรับการเป็นซ้ำของโรคเริมที่จมูกจะมีอาการน้อยกว่า ขนาดตุ่มน้ำก็จะมีขนาดเล็กกว่าและมักไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยแต่อาจมีการคัน แสบร้อนและตุ่มน้ำจะขึ้นในบริเวณเดิม
ระยะของเริมที่จมูกจะเริ่มต้นหลังจากการรับเชื้อในครั้งแรกซึ่งจะเป็นระยะฟักตัวประมาณ 3-7 วัน จึงจะเริ่มเข้าสู่ระยะมีอาการหรือบางคนอาจไม่มีอาการในช่วงนี้ หากมีอาการก็จะสามารถหายได้ในระยะเวลา 2-6 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองซึ่งหากดูแลได้ดีภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง โรคเริมที่จมูกจะไม่เกิดซ้ำอีก แต่ถ้าหากเกิดซ้ำก็สามารถใช้ยาช่วยรักษาได้
หากเกิดโรคเริมที่จมูกสามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง ซึ่งสามารถเข้ารักษาหรือรับคำปรึกษาได้ทั้งคลินิกหรือโรงพยาบาลโรคผิวหนังซึ่งเป็นสถานรักษาพยาบาลเฉพาะก็ได้ตามความสะดวก
การรักษาโรคเริมที่จมูกสำหรับผู้ที่อาการไม่รุนแรงมากนักสามารถหายได้เอง ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นเริมที่จมูกจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ดังนั้น การรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการดูแลร่างกายของตนเอง เช่น การพักผ่อนและดื่มน้ำให้มาก แต่สำหรับคนที่มีตุ่มน้ำควรป้องกันอย่าแกะหรือเกาตุ่มแผลให้เกิดอาการอักเสบจนเกิดอาการแทรกซ้อนเช่นเป็นหนองหรือติดเชื้อได้ หากต้องการทำความสะอาดสามารถใช้น้ำเกลือเช็ดแผลเริมที่จมูกได้
หากมีอาการไข้ร่วมด้วยสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ หรือสามารถรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อลดระยะเวลาการเกิดโรค การแพร่เชื้อและลดระยะเวลาการเจ็บปวดได้
การใช้ยารักษาโรคเริมที่จมูกจะมีทั้งการใช้ยากินและยาทา แม้จะไม่มียารักษาให้หายขาด แต่สามารถใช้ยาต้านไวรัส อย่างเช่น acyclovir ซึ่งสามารถช่วยลดระยะเวลาการเกิดโรค ลดการแพร่เชื้อ และลดระยะเวลาเจ็บปวดได้ โดยควรกินภายใน 48 ชั่วโมงหลังมีอาการ แต่เนื่องจากยามีผลข้างเคียงต่อไต ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
สำหรับการดูแลเริมที่จมูก สิ่งสำคัญที่สุดคือ การป้องกันตุ่มน้ำแตกและมีการติดเชื้อจนเป็นหนองซึ่งอาจเกิดอาการอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาได้ โดยการดูแลนั้นจำเป็นต้องรักษาความสะอาด และทานอาหารรสอ่อนที่มีประโยชน์เช่น ข้าวไม่ขัดสี ธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่แปรรูป ผักใบเขียวเช่น ผักกาดขาว ผักบุ้ง ผักปลัง กะเพรา เป็นต้นและผลไม้ที่ให้วิตามินเช่น กล้วยน้ำว้า แก้วมังกร เป็นต้น
นอกจากการรับประทานอาหารรสอ่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เหงื่อออกและทำให้แผลตุ่มน้ำมีโอกาสในการติดเชื้อมากขึ้นแล้ว ยังควรดูแลร่างกายให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ยิ่งภูมิคุ้มกันของเราแข็งแกร่งมากเท่าใดก็จะยิ่งทำให้เริมที่จมูกหายได้เร็วขึ้น ทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคซ้ำขึ้นด้วย
เริมที่จมูกสามารถป้องกันได้ทั้งสำหรับการแพร่เชื้อ การติดโรคและการเกิดซ้ำ ซึ่งจะมีการป้องกันแตกต่างกันออกไป ดังนี้
สำหรับการป้องกันการติดโรคจะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำเหลืองหรือรอยโรคโดยตรงที่อาจทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย แต่ทั้งนี้ ก็ยังสามารถติดโรคเริมที่จมูกได้จากการใช้ภาชนะหรือสิ่งร่วมกัน เช่น การดื่มน้ำแก้วเดียวกับผู้ป่วยหรือผู้ที่มีเชื้อไม่แสดงอาการ ดังนั้น ผู้ติดเชื้อจึงควรระมัดระวังให้ดี โดยเฉพาะในช่วงเริ่มมีอาการไปจนถึงช่วงที่แผลตุ่มน้ำ ซึ่งถ้าหากมีการตกสะเก็ดแห้งดีแล้วก็แสดงว่ากำลังจะหมดระยะเวลาแพร่เชื้อแล้ว
สำหรับผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่แล้วสามารถป้องกันการเกิดโรคเริมที่จมูกซ้ำได้ โดยการดูแลร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งและควรระวังปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดเริมที่จมูกได้ ซึ่งได้แก่ ความเครียด แสงแดด การเจ็บป่วยจากโรคอื่น รอยถลอกขีดข่วน การได้รับยากดภูมิคุ้มกันและการผ่าตัดที่กระทบกระเทือนต่อเส้นประสาท หากป้องกันได้ดังนี้จะสามารถป้องกันการเกิดโรคซ้ำได้
ใครที่สงสัยว่ากำลังติดเชื้อไวรัสเริมที่จมูกหรือไม่ หากอ่านบทความนี้แล้วยังคงไม่มั่นใจสามารถเข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำวินิจฉัยให้แน่ชัด ซึ่งหากมีอาการหนักแพทย์สามารถให้ยาที่เหมาะสมกับอาการช่วยรักษาและป้องกันการเกิดซ้ำได้ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเริมที่จมูกอยู่แล้วต้องการวิธีดูแลและป้องกันการเกิดซ้ำไม่ให้แพร่เชื้อโรคสู่ผู้อื่นได้นั้น สามารถดูแลตัวเองและปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นได้เลย