เริมที่ปาก คือ การมีอาการของโรคเริม (Herpes simplex) ขึ้นที่บริเวณรอยต่อระหว่างริมฝีปากและผิวหนัง หรือในช่องปาก สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้ป่วยวัยหนุ่มสาวและวัยผู้ใหญ่ ซึ่งผู้ป่วยโรคเริมที่ปากส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการของโรค หลังจากติดเชื้ออาจใช้ระยะเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนกว่าจะปรากฏอาการของโรค และต่อเมื่อรักษาหายในครั้งแรกแล้ว ก็อาจมีการกำเริบกลับมาเป็นซ้ำได้อีกถ้าหากปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอ
ลักษณะของโรคเริมที่ปาก จะปรากฏแผลบวมแดง มีตุ่มพองมีน้ำใสๆ และรู้สึกคันหรือเจ็บ ไปจนถึงปวดแสบปวดร้อนขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างริมฝีปากและผิวหนัง หรือในช่องปาก ซึ่งจะปรากฎอยู่ประมาณ 48 ชั่วโมง และตุ่มใสเหล่านี้อาจจะรวมตัวหรือเชื่อมต่อกันทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ หลังจากนั้น ตุ่มทั้งหมดจะกลายเป็นตุ่มหนองภายใน 72-96 ชั่วโมง แตกออก และตกสะเก็ด ส่วนอาการร่วมอื่นๆ ก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีไข้ ปวดตามเนื้อตัว ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคเริมที่ปากครั้งแรกจะมีอาหารที่รุนแรงที่สุด แต่ถ้ากลับมาเป็นซ้ำอีกอาการจะไม่หนักเท่าในครั้งแรกอีก
นอกจากโรคเริมที่ปากแล้ว เริมยังสามารถเป็นที่บริเวณอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เริมที่จมูก เริมที่อวัยวะเพศ เริมที่ปากมดลูก เริมที่ทวารหนัก เป็นต้น
สาเหตุของการเกิดเริมที่ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด Herpes Simplex virus type 1 หรือ เชื้อ HSV ชนิดที่ 1 ซึ่งมักจะพบที่บริเวณปาก โดยมักจะได้รับเชื้อไวรัสมาจากน้ำลาย น้ำเหลือง หรืออสุจิ หรือกินและใช้ของร่วมกัน และสัมผัสผู้ที่เป็นโรคที่ทั้งแสดงอาการ หรือไม่แสดงอาการ เช่น ผื่นตุ่มน้ำ รอยโรค เป็นต้น ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
โรคเริมที่ปาก ถือเป็นภัยเงียบที่อันตรายไม่น้อย เพราะถ้าหากผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ อาจทำให้ติดเชื้อที่สมองหรือเยื่อหุ้มสอง จรทำให้สมองอักเสบได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะมาก ร่างกายอ่อนแรง ไปจนถึงขั้นชักและโคม่าได้เลยทีเดียว
อาการของโรคแทรกซ้อนที่อาจพบคือ เชื้อไวรัสแพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น อาจติดเชื้อที่บริเวณสมองหรือเยื่อหุ้มสมองทำให้ชักและโคม่า หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตได้
เริมที่ปาก สามารถติดต่อกันได้จากการสัมผัสเชื้อจากสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย การมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การจูบ การใช้ของร่วมกัน หรือการทำ Oral Sex โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ซึ่งหากที่ปากมีแผลเริม ก็อาจทำให้บริเวณอวัยวะติดเชื้อเริมไปด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นไวรัสคนละชนิดกันก็ตาม
สามารถเข้าทำการรักษาได้ทั้งคลินิกเอกชน โรงพยาบาลของรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชน หรือปรึกษาโรคเริม เริมที่ปาก พร้อมทำการนัดหมายกับ Safe Clinic ได้เลย ที่นี่
การรักษาโรคเริมที่ปากสามารถทำได้หลายวิธีทั้งการการรักษาด้วยตัวเองที่บ้านประคบเย็นด้วยน้ำแข็ง หรือน้ำเย็น การใช้ยาสมุนไพรอย่างว่านหางจระเข้ในการลดอาการปวดแสบปวดร้อน รวมถึงใช้เสลดพังพอนตัวเมียในการทำให้ตุ่มหายไวขึ้น และการใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งวิธีเหล่านี้ก็จะช่วยลดความรุนแรงของแผลลง แผลจะหายได้เร็วยิ่งขึ้น
ยาที่ใช้รักษาโรคเริมจะเป็นยาภายนอกที่ใช้เพื่อต้านไวรัส และให้ผลดีในการลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็ว เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาแฟมซิโคลเวียร์ (Famcyclovir) และ ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ซึ่งควรที่จะทายาตั้งแต่ช่วงที่มีอาการนำก่อนที่จะเกิดเป็นตุ่มน้ำที่ริมฝีปากนั้นจะช่วยลดระยะเวลาที่เป็นตุ่มน้ำให้สั้นลงได้ดี
เริมที่ปากสามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรที่ชื่อว่า “พญายอ” หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เสลดพังพอนตัวเมีย ซึ่งมีสรรพคุณช่วยในการลดอาการแสบร้อน และทำให้ตุ่มใสหายไวขึ้น โดยในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ในรูปแบบของครีมตามร้านขายยาทั่วไป และให้ใช้ทาเฉพาะแผลเริมภายนอกริมฝีปาก ต่อเนื่องกัน 4-5 วัน แต่ทั้งนี้ ไม่ควรละเลยที่จะตามคำแนะนำของเภสัชกรเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา
โรคเริมที่ปากสามารถหายได้เองใน 2-6 สัปดาห์ แต่ในรายที่อาการลุกลามตุ่มพองอาจกลายเป็นหนอง ซึ่งทำให้หายช้าได้ ส่วนผู้ที่เคยเป็นแล้วกลับมาเป็นใหม่ระยะเวลาการหายจะเร็วขึ้น เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันแล้ว
การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่เป็นเริมที่ปากมีความเสี่ยงที่ทำให้ติดโรคสูงมาก แต่ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ ทั้งนี้ ควรระมัดระวังไม่ทำการ Oral Sex การจูบ หรือสัมผัสที่ริมฝีปาก รวมถึงรับประทานยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเอาไว้ด้วย
สำหรับผู้ที่เป็นโรคเริมที่ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มน้ำหรือแผล ทั้งการจับ แคะ แกะ เกา หรือเจาะ เพราะอาจแพร่เชื้อไปสู่บริเวณอื่นของร่างกายหรือติดต่อไปยังผู้อื่นได้