Let’s play safe
Call Today : 083-534-4555, 02-006-8887
Room 314 , 246 Sukhumvit Rd, Khwaeng Khlong Toei, Bangkok
Open Hours
Open every day . 12:00 - 20:30

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ต่างจากไวรัสอื่นอย่างไร รักษาหายได้ไหม

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ไวรัสตับอักเสบมาไม่มากก็น้อย และอาจจะเคยได้ยินว่ามีหลายชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ฯลฯ และหนึ่งในไวรัสตับอักเสบที่หลายคนได้ยินบ่อยและพบเจอได้ง่าย รวมถึงมีความรุนแรงมากก็คงจะหนีไม่พ้น “ไวรัสตับอักเสบบี” ซึ่งในบทความนี้จะมาขยายความให้ทุกคนรู้จักกันว่าคืออะไร อันตรายแค่ไหน จะมีอาการอย่างไร รวมถึงจะรักษาและป้องกันได้อย่างไรบ้างจึงจะห่างไกลจากโรคไวรัสตับอักเสบบี

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน แสดง

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร

Hepatitis B Virus หรือ ไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะติดต่อผ่านทางเลือด และอาจส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ ในระยะต่างๆ ของการติดเชื้อ โดยพบได้ทั่วโลกและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการตายจากโรคตับในประเทศไทย นอกจากนี้ ไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นไวรัสที่มีความรุนแรงมาก ทำให้ผู้ได้รับเชื้อมีแนวโน้มเกิดตับแข็ง ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้อีกด้วย

ลักษณะของไวรัสตับอักเสบบี

ลักษณะของไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นไวรัสที่สามารถติดต่อได้ และนำไปสู่การเป็นตับแข็ง เป็นแผลถาวรที่บริเวณตับ ตับวาย และโรคมะเร็งตับได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับส่วนใหญ่จะเคยมีประวัติว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ส่วนผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบอยู่ก็มีโอกาสที่จะเสี่ยงเป็นมะเร็งตับเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงมากขึ้นอีกถ้ามีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเสริม เช่น การดื่มสุรา ปัจจัยทางพันธุกรรม การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี การได้รับสารก่อมะเร็งโดยเฉพาะสารอะฟลาท็อกซิน (aatoxin) เป็นต้น

สำหรับลักษณะของการติดเชื้อสามารถติดได้ตั้งแต่วัยเด็ก และจะเป็นเรื้อรัง ไวรัสจะขึ้นๆ ลงๆ ร่วมกับการทำงานของตับที่ผิดปกติ ปล่อยไว้นานเข้าจะเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้ในที่สุด ส่วนในผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างแข็งแรงก็จะกำจัดเชื้อได้เองโดยไม่มีอาการหรือถ้ามีก็มีเล็กน้อย

ไวรัสตับอักเสบบี ต่างกับชนิดอื่นอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบบีมีความแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น ดังนี้

ไวรัสตับอักเสบเอ

  • การติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A virus) จะติดต่อจากคนสู่คน ผ่านทางการรับประทานอาหาร เช่น น้ำดื่ม ผัก ผลไม้ เป็นต้น,  การสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ, การดื่มน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อไวรัสเข้าไป, การรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุก

  • อาการ

จะไม่มีอาการในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ส่วนใหญ่จะเจอในเด็กอายุมากกว่า 6 ปีและในผู้ใหญ่ และมีอาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน หรือดีซ่าน ปกติจะหายได้ใน 24 สัปดาห์ ยกเว้นในกรณีที่มีโรคตับอักเสบหรือตับแข็งอยู่แล้วอาจทำให้เกิดอาการตับวายเฉียบพลันได้

ไวรัสตับอักเสบบี

  • การติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) จะติดต่อจากคนสู่คนผ่านหลายช่องทาง เช่น ทางเลือด เพศสัมพันธ์ จากมารดาสู่บุตร การได้รับบริจาคเลือด ผ่านการสัมผัสเลือดผ่านการใช้ของใช้มีคมร่วมกัน, การสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เป็นต้น

  • อาการ

อาการของไวรัสตับอักเสบบี สำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป จะมีอาการอ่อนเพลียเหมือนตอนเป็นหวัด มีไข้ คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง จุกท้องชายโครงขวา แต่ถ้าเป็นในทารกแรกคลอดจนถึงเด็กอายุต่ำกว่าห้าปี มักมีอาการอักเสบเป็นๆ หายๆ เกิดพังผืดในตับ พออายุเยอะอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับแข็งได้

ไวรัสตับอักเสบซี

  • การติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C virus) จะติดต่อทางเลือดและเพศสัมพันธ์

  • อาการ

ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการจนกระทั่งรู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้ และเมื่อทำการตรวจก็จะพบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซี และทำให้มีอาการเรื้อรังจนถึงขั้นเป็นตับอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้เลยทีเดียว

ไวรัสตับอักเสบดี

  • การติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D virus) จะติดต่อได้โดยทางเลือดที่มีเชื้อโดยตรง เช่น ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการรับเลือด ฯลฯ การมีเพศสัมพันธ์ หรือสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้ออยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • อาการ

มักมีอาการตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง สำหรับในคนที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการเหนื่อย เฉื่อยชา เบื่ออาหาร ดีซ่าน ปัสสาวะและอุจจาระมีสีเปลี่ยนไป

ไวรัสตับอักเสบอี

  • การติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E virus) จะติดต่อกันได้เหมือนกับโรคไวรัสตับอักเสบเอ คือ จากอาหาร น้ำดื่ม หรืออุจจาระที่มีการปนเปื้อน

  • อาการ

ส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้ มีไข้ ปวดช่องท้อง ปัสสาวะมีสีเข้ม ผิวเหลือง อุจจาระมีสีอ่อน รู้สึกกดแล้วเจ็บที่ชายโครงด้านขวา มีอาการดีซ่าน

สาเหตุการเกิดไวรัสตับอักเสบบี

เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีเป็นเชื้อที่มีความคงทนสูง ทำลายได้ยาก และติดต่อได้จากหลากหลายช่องทาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดต่อผ่านมารดาสู่ลูกในครรภ์ทำให้เป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือสำหรับในผู้ใหญ่ก็มักจะเป็นทางเลือด เพศสัมพันธ์ สารคัดหลั่ง หรือการอยู่ใกล้ชิดกับตัวผู้ป่วยและใช้สิ่งของต่างๆ ที่เป็นของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ  เป็นต้น

ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อได้อย่างไร

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น

  • ติดต่อได้ทางเลือด เช่น ได้รับเลือดจากผู้มีเชื้อ การใช้เข็มฉีดยา เจาะ หรือสักตามร่างกายร่วมกันกับผู้อื่น
  • ติดต่อจากการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย 
  • ติดต่อด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่ได้ทำการสวมถุงยาง
  • ติดต่อผ่านการจูบกัน ถ้าหากปากเกิดการมีแผล
  • ติดต่อจากแม่สู่ลูก 
  • ติดต่อจากการสัมผัสกับน้ำเหลืองหรือน้ำคัดหลั่งในขณะที่เป็นแผล มีรอยแผล หรือผิวหนังถลอก

อาการของไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบีระยะแรก

อาการของไวรัสตับอักเสบบี หากเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อแบบเฉียบพลัน จะเริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 45-90 วัน ในบางรายอาจจะนานถึง 180 วัน โดยในช่วงแรกจะมีอาการไม่อยากอาหาร เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีไข้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาเนื่องจากตับโต รู้สึกไม่สบายตัว ปวดเนื้อปวดตัว มีอาการถ่ายเหลว ตัวเหลือง ตาเหลือง และมีปัสสาวะมีสีเข้ม

ไวรัสตับอักเสบบีระยะสุดท้าย

อาการของไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรังโดยเป็นมาในระยะเวลานาน มักมีอาการตับทำงานผิดปกติ อาจมีอาการอ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร นอกจากนี้จะนำไปสู่การเป็นตับแข็ง ซึ่งมักจะมีอาการต่างๆ ร่วมด้วย เช่น ท้องมานน้ำ ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นต้น

การวินิจฉัย การตรวจไวรัสตับอักเสบบี

หากสงสัยว่า ตนเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ แนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยแพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจการทำงานของตับ (จะใช้ปริมาณเลือดประมาณ 5 มิลลิลิตร) หลังจากนั้นจะส่งเลือดไปยังห้องปฏิบัติการ โดยการหาเปลือกของไวรัส (HBsAg) ซึ่งจะต้องตรวจระดับเอนไซม์ของตับ (ALT, AST)

สำหรับกลุ่มที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง แพทย์จะนัดตรวจเพิ่ม 1-2 ครั้ง ห่างกันทุกๆ 1-2 เดือน เพื่อดูว่ามีอาการของตับอักเสบเรื้อรังหรือไม่ นอกจากนี้อาจมีการตรวจนับไวรัสในเลือดโดยตรง หรือตรวจหาปริมาณไวรัสทางอ้อม เพื่อประเมินปริมาณไวรัสก่อนวางแผนทำการรักษา และยังสามารถตรวจจากการตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจได้ด้วย (ทำในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการตับอักเสบเรื้อรัง)

วิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบบี

วิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบบี ในปัจจุบันสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสบีได้แล้ว  เพื่อลดการเกิดพังผืดในตับ ลดการอักเสบของตับ ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดเป็นภาวะตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ด้วย โดยการรับประทานยาต้านไวรัสตับอักเสบบี หรือถ้าเป็นเรื้อรังก็สามารถใช้วิธีการฉีดยาเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานด้วยได้

นอกจากนี้ทางผู้ป่วยก็ต้องดูและรักษาตัวเองให้มากขึ้น เช่น งดอาหารที่มีสารอะฟลาท็อกซิน เช่น ถั่วลิสง พริกป่น, งดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีส่วนทำให้ตับถูกทำลายมากขึ้น, ไม่ควรรับประทานยาเองติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เป็นต้น

ยาต้านไวรัสตับอักเสบบี

ยาต้านไวรัสตับอักเสบบี ในปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาจะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม ได้แก่

  • ยารับประทานชนิด oral nucleoside/nucleotide analogs

เป็นยารับประทานที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส เมื่อรักษาไประยะหนึ่ง ยกกลุ่มนี้มีหลายตัว เช่น  entecavir, tenofovir disoproxil fumarate (TDF) และ tenofovir alafenamide (TAF) ยารูปแบบนี้จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าแบบฉีด แต่ก็ทำให้หายยากกว่า

  • ยาฉีด pegylated-interferon alpha

เป็นยารักษาไวรัสตับอักเสบบีแบบฉีดที่ต้องทำการฉีดเข้าใต้ผิวหนังสัปดาห์ละครั้ง โดยยาจะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายให้เข้าทำลายไวรัสเอง แต่การใช้งานอาจมีผลข้างเคียง เช่น หนาวสั่น ใจเต้นเร็ว มีไข้ ปวดศีรษะ แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยายังกดไขกระดูก เลือดออกง่าย และติดเชื้อ จึงมีข้อระวังในการใช้มากมาย เช่น

  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยานี้ หรือมีอาการแพ้แอลกอฮอล์ชนิด Benzyl Alcohol
  • ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ลมชัก ซึมเศร้า และโรคเรื้อรังอื่นๆ
  • ไม่ควรใช้ยานี้กับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หญิงมีครรภ์หรือหญิงในช่วงให้นมบุตร

การรักษาผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง จะต้องเป็นผู้ที่มี HBsAgให้ผลบวกเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าไวรัสกำลังแบ่งตัวเป็นอย่างมาก และมีระดับ ALT มากกว่าหรือเท่ากับ 1.5 เท่าของค่าปกติอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันไม่น้อยกว่า 3 เดือน (ยกเว้นในกลุ่มที่เป็นตับแข็งหรือภาวะตับวาย จะไม่ต้องรอห่างกันเกิน 3 เดือน)

ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีสามารถเลือกใช้ยาได้ทุกขนานขึ้นอยู่กับปัจจัยของผู้ป่วย ระยะโรค และปัจจัยของไวรัสตับอักเสบบี ส่วนผู้ป่วยที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้อาการหรืออยู่ในช่วงที่ไวรัสไม่มีการแบ่งตัว ให้ติดตาม ALT เป็นระยะๆ ทุกๆ 3-6 เดือน และยังไม่ต้องรับยาต้านเชื้อไวรัส รวมถึงควรได้รับการประเมินการรักษาจากแพทย์อย่างละเอียด

รักษาไวรัสตับอักเสบบีที่ไหนดี

สามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาและเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทั้งโรงพยาบาลทั้งภาครัฐ เอกชน หรือคลินิกเฉพาะทาง เพื่อรับคำปรึกษาจากแพทย์ในการดูแลรักษาตัวเองและคนใกล้ชิด พร้อมปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งการฉีดยา รับประทานยา การดูแลตนเอง พร้อมกับให้แพทย์ติดตามอาการของโรคอย่างสม่ำเสมอ

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

สำหรับการป้องกันไวรัสตับอักเสบบีที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี โดยการฉีดเข้ากล้ามที่ต้นแขนรวม 3 เข็ม ห่างกันที่ 0, 1 เดือน และ 6 เดือน โดยในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี รวมในเข็มเดียวกันแล้ว จึงควรที่จะฉีดไว้เพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ และในกลุ่มผู้ใหญ่ควรที่จะตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนว่ามีการติดเชื้อหรือมีภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีแล้วหรือไม่ด้วย ติดต่อเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนได้เลยที่นี่

ส่วนการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคไวรัสตับอักเสบบีนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายข้อ เช่น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เช่น การเจาะ สัก หรือใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น, ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์, ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ, หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ฯลฯ 

ใครบ้างควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

  • กลุ่มของผู้ที่มีอายุ 8-65 ปี สามารถใช้วัคซีนรวมป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงโรคไวรัสตับอักเสบเอในเข็มเดียวกันได้
  • กลุ่มของทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
  • กลุ่มของผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเมื่อตอนแรกเกิด
  • กลุ่มของผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
  • กลุ่มของผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • กลุ่มของผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
  • กลุ่มของผู้ป่วยที่ต้องรับยากดภูมิต้านทาน
  • กลุ่มของคนที่เป็นรักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
  • กลุ่มของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
  • กลุ่มของผู้ที่ต้องรับเลือดบ่อยๆ
  • กลุ่มของผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน

คำถามไวรัสตับอักเสบที่พบบ่อย

ไวรัสตับอักเสบบีน่ากลัวไหม

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับการเป็นไวรัสตับอักเสบบี คือ การที่ติดเชื้อแล้วไม่รู้ตัว และปล่อยให้อาการแย่ลงนานกว่า 6 เดือน จนกลายเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังและโรคตับอักเสบ รวมถึงเรื่องมะเร็งตับด้วย เนื่องจากมีการอักเสบของเซลล์ตับ และทำให้เซลล์ตับถูกทำลายลงไปนั่นเอง

ไวรัสตับอักเสบบีรักษาหายไหม

ไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นแบบเฉียบพลันซึ่งมีโอกาสหายขาดได้เอง โดยจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ภายใน 10 สัปดาห์ แต่ถึงแม้ว่าจะรักษาจนหายได้แล้วก็อาจจะยังมีเชื้อในร่างกาย ซึ่งจะติดต่อไปยังคนอื่นๆ ต่อได้ด้วย จึงแนะนำให้ตรวจและดูแลร่างกายของตนเองอยู่เสมอ

สรุป

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคติดเชื้อที่เป็นอันตรายต่อผู้ติดเชื้อ และเป็นสาเหตุของการตายจากโรคตับในประเทศไทย การป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอและถูกสุขอนามัย ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อ และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นวิธีการที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพในการป้องกันให้ผู้ป่วยไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ในที่สุด

icon email

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหาให้เหมาะสมกับความสนใจของคุณ หากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาให้ตรงกับความสนใจของคุณได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า