เอชไอวีคือไวรัสชนิดหนึ่งที่พอเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะค่อย ๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายไปเรื่อย ๆ จนทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านเชื้อโรคได้ ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เกิดการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าคนปกติหลายสิบเท่า
ชื่อเอชไอวีจะเป็นชื่อเรียกหลักของโรคนี้ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับเชื้อจะเริ่มจากการเป็นเอชไอวีก่อน และหากไม่ได้รักษาจนร่างกายเกิดติดโรคแทรกซ้อนขึ้น ถึงจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะข้ามจากเอชไอวีเป็นเอดส์ ทำให้โรคเอดส์มีอีกชื่อหนึ่งคือโรคเอชไอวีระยะสุดท้าย
สองโรคนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันพอสมควร เพราะการติดเชื้อตัวใดตัวหนึ่งจะทำให้โอกาสติดอีกโรคเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า โดยมีสาเหตุมาจากแผลของโรคซิฟิลิสที่ทำให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย หรือโรคเอชไอวีที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและติดเชื้อซิฟิลิสง่ายขึ้น นอกจากซิฟิลิสแล้ว ก็ยังมีโรคอื่น เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ฝีมะม่วง แผลริมอ่อน หูดหงอนไก่ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ที่ติดได้ง่ายขึ้นเช่นกันหากมีเชื้อเอชไอวีอยู่
เอชไอวีเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อว่า Human immunodeficiency virus ที่เข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกาย และเป็นเหตุทำให้ทำเชื้อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นหลายเท่าตัว
เอชไอวีระยะแรกส่วนมากจะไม่แสดงอาการใด ๆ ที่เห็นได้ชัด เพราะเอชไอวีเพิ่งจะเข้าสู่ร่างกายได้ไม่นาน และจำนวนเม็ดเลือดขาวยังมีเพียงพออยู่ แต่ถ้ามีอาการเกิดขึ้น ในคนไข้บางรายจะรู้สึกเป็นไข้แบบมา ๆ หาย ๆ หรือมีน้ำหนักลดผิดปกติได้
เอชไอวีระยะสุดท้ายจะทำให้คนไข้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายมาก ทำให้ต้องพักรักษาในโรงพยาบาลตลอดจนกว่าอาการจะดีขึ้น ส่วนของอาการที่พบได้ จะเรียกว่าตุ่ม PPE ซึ่งเกิดในคนที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเหลือน้อยกว่า 5% นอกจากนี้จะมาจากการติดเชื้ออื่น ๆ ที่เป็นโรคแทรกซ้อน เช่น อาการของวัณโรค เป็นต้น
เอชไอวีจะแสดงลักษณะเหมือนกันโดยไม่จำกัดเพศหรือช่วงอายุ ที่ต่างกันจะเป็นระยะเวลาก่อนเปลี่ยนไปเป็นโรคเอดส์ของคนไข้แต่ละราย ซึ่งจะใช้เวลาตั้งแต่ 2-20 ปี
สาเหตุหลักของการติดเชื้อเอชไอวีจะมาจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย เพราะจะเป็นช่องทางที่แพร่ได้บ่อยที่สุด แต่นอกเหนือจากนี้ก็จะมีการรับบริจาคเลือดจากผู้มีเชื้อโดยตรง หรือกรณีเข็มฉีดยาตำ/ใช้เข็มฉีดยาฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ที่ทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้
การรักษาโรคเอชไอวี ในปัจจุบันสามารถรักษาด้วยการทานยาต้านไวรัสประกอบกับการตรวจเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งจะมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากนัก เพียงแค่ต้องมีระเบียบในการทานยาเท่านั้น ถึงเอชไอวีจะยังรักษาหายขาดไม่ได้ แต่ถ้าทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้คนไข้มีสถานะเทียบเท่าคนที่ไม่มีเชื้อและไม่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้อีกหากทานยาอย่างสม่ำเสมอ
หากตัดสินใจรักษาที่ Safe Clinic สิ่งแรกที่ต้องทำคือการตรวจเลือดเพื่อยืนยันผลที่จำเป็นต่อการรักษาเช่น ผล HIV, CD4, Viral load จากนั้นเมื่อแพทย์ประเมินผลเสร็จเรียบร้อยก็สามารถจ่ายยาไปทานได้เลย และหลังจากทานยาไปสักพักก็จะมีการนัดคนไข้มาตรวจเลือดบ้างเป็นครั้งคราว ช่วง 3 เดือนหรือ 6 เดือน แต่การรักษาจะได้ผลดีที่สุดถ้าคนไข้ทานยาอย่างสม่ำเสมอและไม่ขาดยา
รับยาต้านเอชไอวีได้ที่ไหน?
ที่ Safe Clinic มีบริการจ่ายยาต้านไวรัส HIV ให้คนไข้ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นคนไข้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี หรือคนที่ต้องการรับยาสูตร PrEP และ PEP ก็มีเช่นกัน หากใครคิดว่าตัวเองเพิ่งเกิดถุงยางแตกขึ้นมามาไม่นานและจะรับ PEP หรืออยากป้องกันไว้ก่อนโดยการกินยา PrEP ก็สามารถเข้ามาตรวจเลือดที่คลินิกก่อนรับยาได้ทันที หรือสามารถติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มก่อนก็ได้
การป้องกันเอชไอวีทำได้เหมือนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วไป คือการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง หรือสามารถทานยา PrEP เพื่อป้องกันล่วงหน้าได้ นอกเหนือจากนั้นช่องทางที่ป้องกันได้แน่นอนคือการช่วยตัวเองหากเกิดอารมณ์ทางเพศและรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น หูดข้าวสุก หรือ โรคตัวโลนที่มาเกาะตามอวัยวะเพศ แต่สำหรับคนที่อยากได้ทางเลือกอื่น ก็สามารถพึ่งการทำออรัลเซ็กส์ (เพศสัมพันธ์ทางปาก) ได้ด้วยเพราะวิธีนี้จะถือว่าไม่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเอชไอวีเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะเชื้อเอชไอวีที่อยู่ในน้ำลายมีน้อยเกินกว่าจะทำให้เกิดความเสี่ยง
การตรวจเลือดหาเอชไอวีเป็นประจำถือเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่ยังมีเพศสัมพันธ์บ่อยอยู่เพราะอาจมีบางครั้งที่เรารับความเสี่ยงมาโดยไม่รู้ตัวได้ ถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาจริง ๆ ก็จะได้รักษาตั้งแต่ต้นและดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากกรณีของการติดเชื้อเอชไอวีส่วนมากมาจากคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้ออยู่และไม่ได้เข้ารักษา แต่ถ้าตรวจแล้วผลปกติก็จะได้หาวิธีป้องกันได้อย่างถูกต้อง และลดการแพร่เชื้อลงได้
เอชไอวียังคงรักษาหายขาดไม่ได้ในผู้ป่วยทั่วไป ทำให้ต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันไปเรื่อย ๆ เพื่อกดไม่ให้เชื้อแพร่ในร่างกาย แต่ข่าวดีก็คือในปัจจุบันมีคนไข้สองคนในโลกที่รักษาหายขาดได้จริง ๆ แล้ว แต่วิธีรักษาก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะทั้งคู่ต้องใช้วิธีรักษาโดยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดที่ไขสันหลัง ซึ่งเป็นการรักษาโรคมะเร็งและไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน
การขอวีซ่าจะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันออกไป บางประเทศก็รับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีเข้าประเทศได้แต่ต้องมีข้อจำกัดบางประการ หรือบางประเทศก็ไม่รับเลย แต่ประเทศส่วนมากรวมถึงไทยเราจะไม่มีข้อจำกัดเรื่องการตรวจเอชไอวีในการขอวีซ่าเลย