โรค HPV คืออะไร
โรคติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ( human papilloma virus ) หรือ โรค HPV คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธ์ได้ พบบ่อยในเพศหญิง จัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่สามารถติดต่อได้หลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นทางปากช่องคลอด ทวารหนัก หรือ การสัมผัสเชื้อโดยตรง
มีมากกว่า 150 สายพันธุ์ย่อย ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการติดเชื้อที่เยื่อบุผิว อีกทั้งเชื้อไวรัส HPV บางสายพันธุ์อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก (สายพันธุ์ 16 และ 18) มะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยเป็นจำนวนมาก และยังมีอัตราการเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในที่สุด
ความแตกต่างระหว่าง HPV และ HIV
หลายคนสงสัยและมักเข้าเข้าใจผิดว่าทั้ง 2 โรคนี้เป็นโรคเดียวกัน เนื่องจากมีชื่อที่คล้ายๆ กัน แต่ทั้งโรคติดเชื้อ HPV และ HIV เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD ( Sexually Transmitted Disease ) หมายถึงโรคที่ติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง โดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์เหมือนกัน แต่เกิดจากเชื้อไวรัสคนละสายพันธ์
- HPV คือ โรคเกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Human papilloma virus
- HIV คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus ซึ่งป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
หากผู้ป่วยติดเชื้อ HIV และ HPV จะยิ่งส่งผลให้ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตัวเอย่างเช่น ผู้ชายที่มีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกาย เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายอาจทำให้เกิดมะเร็งทวารหนัก หรือหากมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงนอกจากติดเชื้อ HIV แล้ว ยังเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
สามารถอ่านเรื่องของ HIV เพิ่มเติมได้ที่นี่ : โรค HIV คืออะไร รวมทุกข้อมูลที่ถูกต้อง ที่คุณต้องรู้ !
อาการ HPV
ดังที่กล่าวมาข้างต้น พบว่าผู้ติดเชื้อ HPV โดยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการเมื่อติด เชื้อ HPV การแสดงอาการของโรคอาจเกิดขึ้นหลายปีหลังจากติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ สำหรับอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อไวรัส HPV ที่ตรวจพบจะมีดังนี้
1. มีหูดหงอนไก่ ( Condyloma Accuminate )
เป็นตุ่มเล็กๆ ผิวไม่เรียบหลายๆ ตุ่มกระจายตามอวัยวะเพศภายนอก มีอาการคันได้ สามารถพบได้ทั้งปากช่องคลอด ปากมดลูกลักษณะของหูด หูดชนิดทั่วไป จะมีรูปร่างเป็นตุ่มเล็กๆ เจ็บปวดบ้างในบางครั้ง และหากสัมผัสจะรูสึกผิวของหูดนั้นมีความขรุขระ มีได้หลายสี พบได้ที่บริเวณตามมือ นิ้วมือ หรือข้อศอก ซึ่งหูดลักษณะเช่นนี้ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายนอกจากนี้ยังมีหูดชนิดอื่นๆ เช่น หูดชนิดแบนราบเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย หูดฝ่าเท้า มักขึ้นบริเวณส้นเท้า ให้รู้สึกเจ็บในระหว่างยืนหรือเดิน แต่หูดที่สร้างความทุกข์ใจกับผู้ป่วยมาที่สุดคือ หูดที่อวัยวะเพศ หรือเรียกว่า หูดหงอนไก่เป็นติ่งเนื้อลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย และทวารหนัก ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บ แต่อาจทำให้รู้สึกคัน
2. มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ
อาจมีเลือดปนตกขาว ตกขาวมีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดออกกระปริดกระปรอยจากช่องคลอด หากติดเชื้อที่ทวารหนัก ก็จะมีแผลหรือก้อนยื่นออกมาผิดปกติอาการติดเชื้อในระยะแรกทั้ง 2 แบบนี้ จะเป็นๆ หายๆ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ผู้หญิงบางรายได้รับเชื้อ HPV เข้าสู่ร่างกายแต่ไม่แสดงอาการและเชื้อก็จะหายไปเอง หรือหากร่างกายอ่อนแอก็อาจก่อให้เกิดความผิดปกติภายหลัง
ความน่ากลัวของ เชื้อ HPV คือการไม่แสดงอาการมานาน แต่พอเริ่มมีอาการปรากฏ นั้นหมายถึงเซลล์มะเร็งลุกลามไปแล้ว ดังนั้นจึงควรหาเชื้อ HPV หรือตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ
วิธีรักษาโรค HPV
ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาเชื้อไวรัส HPV ให้หายขาด เราเพียงแต่พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค การติดเชื้อจะหายไปได้เองโดยใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่สำหรับคนที่ติดเชื้อแล้วร่างกายอ่อนแอ เชื้อ HPV จะพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ประมาณ 10- 15 ปี มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่เชื้อฝังแน่นในร่างกายเป็นเวลานาน
การรักษา HPV ที่สามารถทำได้ในปัจจุบัน คือ การตรวจวินิจฉัยยืนยันเพื่อหาเชื้อ HPV และแนะนำให้ผู้หญิงทุกคนที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้วควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ ยกเว้นผู้หญิงอายุน้อยกว่า 30 และไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคก็อาจไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อนี้ แต่ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 30 และมีความเสี่ยงแนะนำว่าควรจะต้องเข้ารับการตรวจประจำปี
ส่วนเพศชายก็มีโอกาสที่จะเกิดโรคเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะชายรักร่วมเพศ อาจจะเกิดการติดเชื้อและแสดงอาการที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือ องคชาติ จนกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้เช่นเดียวกัน
การป้องกันโรค HPV
การป้องกันโรค HPV ที่ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย คือ การรักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธ์โดยเฉพาะเพศชายควรจะทำความสะอาดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อได้ ส่วนเพศหญิงที่ติดเชื้อก็ควรรักษาให้หายก่อนมีเพศสัมพันธ์ หรือ หากไม่มั่นใจให้สวมถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ทั้งคู่จะเป็นการดีที่สุด
โรคมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ( human papilloma virus) หรือ โรค HPV นั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ แต่ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเจ็บป่วยหลังติดเชื้อ และทำให้สุขภาพและร่างกายอ่อนแอได้แก่ การสูบบุหรี่ การรับประทานยาคุมกำเนิดต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน รวมถึงผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มากกว่า 3 ครั้ง และปัจจุบันการป้องกันที่สามารถทำได้ เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยและสูญเสีย คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค HPV
การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี ควรได้รับวัคซีนตั้งแต่ยังไม่มีการติดเชื้อ ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หรือก่อนแต่งงาน วัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป โดยวัคซีนจะเริ่มป้องกันการติดเชื้อหลังฉีด 1 เดือนเป็นต้นไป การฉีดวัคซีนต้องฉีดให้ครบ 3 เข็ม ซึ่งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO ) ให้ข้อมูลว่า ควรจะฉีดวัคซีนนี้ ในอายุช่วง 9-14 ปี เนื่องจากเป็นวัยที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ต่อไป
การวินิจฉัยโรค HPV
เนื่องจากเชื้อ HPV ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า การตรวจวินิจฉัยจึงจำเป็นต้องเป็นการตรวจในห้องปฏิบัติการ เช่น
- การตรวจแปปสเมียร์ ( Pap Test) สูตินรีแพทย์จะเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูกไปตรวจคนหาเชื้อ
- การตรวจตินเพร็พ ( ThinPrep Pap Test ) วิธีการตรวจไม่ต่างไปจากการตรวจแปปสเมียร์โดย แพทย์จะเก็บเซลล์ บริเวณปากมดลูกด้วยอุปกรณ์เฉพาะ แล้วส่งเข้าห้องปฎิบัติการ
- การตรวจคัดกรองหาดีเอ็นเอของเชื้อ HPV ( HPV DNA Test ) วิธีการนี้เป็นคือการนำตัวอย่างเซลล์บริเวณอวัยวะเพศไปตรวจหาเชื้อHPVโดยตรง มีความแม่นยำสูง นิยมตรวจเพื่อค้นหาโรคก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
- การตรวจปากมดลูกด้วยคอลโปสโคป ( Colposcopy ) เป็นการสอดกล้องคอลโปสโคป ที่มีขนาดเล็ก เข้าไปทางช่องคลอดเพื่อตรวจหาเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ
- การทดสอบด้วยกรดอะซิติก ( Acetic Acid Solution Test ) การตรวจวิธีนี้จะเป็นใช้สารละลายกรดอะซิติก เพื่อทำปฏิกิริยากับเซลล์ปากมดลูก ที่มีผิดปกติและเปลี่ยนบริเวณดังกล่าวให้เป็นสีขาว แพทย์จึงสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย